ลงทะเบียน
ใกล้กัน ช่วยให้คุณแชร์เรื่องราวต่างๆ กับผู้คนมากมาย

นิวเคลียร์โลก ประเทศไหนครอบครองบ้าง

นิวเคลียร์โลก ประเทศไหนครอบครองบ้าง

โพสต์ใน: การศึกษา / - โดย - Mar 02, 2019

ปัจจุบันโลกมีหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ 31,000 นัด ที่ยังคงบรรจุประจำการอยู่ใน 8 ประเทศ ไม่รวมเกาหลีเหนือ ได้แก่ สหรัฐฯ รัสเซีย จีน สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส อินเดีย ปากีสถาน และอิสราเอล โดยส่วนหนึ่งถูกเก็บรักษาไว้ในคลังแสง และอีกส่วนหนึ่งได้เคลื่อนย้ายวางกำลังไว้ ณ ที่ตั้งหน่วยทหารที่เป็นหน่วยยิงประมาณ 13,000 นัด ซึ่งในจำนวนนี้อยู่ในสภาพพร้อมรบเต็มที่ High Alert ประมาณ 4,600 นัด พร้อมใช้งานในไม่กี่นาทีตลอดเวลา หัวรบนิวเคลียร์เหล่านี้มีอำนาจการทำลายคิดเป็นน้ำหนักระเ บิด TNT (Trinitrotoluene : C6H2(NO2)3CH3) ประมาณ 5,000 Megaton คือประมาณ 20,000 เท่าของระเบิดนิวเคลียร์ที่ใช้ที่ฮิโรชิมา ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

สหรัฐฯ
กำลังรบนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ ประกอบด้วย ขีปนาวุธที่ติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ข้ามทวีป ICBMs , อาวุธปล่อยจากเรือดำน้ำนิวเคลียร์ SLBMs และเครื่องบินทิ้งระเบิด Bombers รวมทั้งสิ้น 1,074 ฐานยิง ถือครองหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ 5,170 นัด และรวมอำนาจการทำลายที่คิดเป็นน้ำหนักระเบิด TNT มากกว่า 1,560 Megaton

สหรัฐฯ เป็นชาติมหาอำนาจที่ถือครองอาวุธนิวเคลียร์ที่มีศักยภาพสู งที่สุดในโลก มีระบบซัดส่ง เช่น ระบบอาวุธปล่อย ขีปนาวุธ อากาศยานทิ้งระเบิดระยะไกล หรือ ระบบทำการยิงจากใต้น้ำ ซึ่งสามารถนำพาหัวรบนิวเคลียร์ไปสู่เป้าหมายได้ทุกแห่งหนบ นโลก ด้วยเทคโนโลยีที่สูงกว่า และไม่มีที่ใดในโลกนี้ที่หัวรบนิวเคลียร์สหรัฐฯ ไปไม่ถึง

สหรัฐฯ แสดงเจตจำนงมาโดยตลอด ที่จะถือครองอาวุธนิวเคลียร์ไว้ เพื่อเผชิญหน้ากับความขัดแย้งที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์แ ห่งชาติในระดับสูงสุด ที่กระทบต่อความอยู่รอดของชาติ (Survival Interest) กับใช้เพื่อการป้องปรามทางยุทธศาสตร์

 

รัสเซีย
กำลังรบนิวเคลียร์ของรัสเซีย ประกอบด้วย ขีปนาวุธที่ติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ข้ามทวีป ICBMs , อาวุธปล่อยจากเรือดำน้ำนิวเคลียร์ SLBMs และเครื่องบินทิ้งระเบิด Bombers รวมทั้งสิ้น 1,174 ฐานยิง ถือครองหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ 5,972 นัด และรวมอำนาจการทำลายที่คิดเป็นน้ำหนักระเบิด TNT มากกว่า 2,800 Megaton

 

รัสเซีย เป็นประเทศที่ถือครองอาวุธนิวเคลียร์ที่มีศักยภาพเป็นรองก ็แต่เพียงสหรัฐฯ มีขีดความสามารถที่จะโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ (Nuclear Attack) ได้ครอบคลุมทั่วโลก ด้วยขีปนาวุธที่ติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ข้ามทวีป (ICBMs) อาวุธปล่อยจากเรือดำน้ำนิวเคลียร์ (SLBMs) และเครื่องบินทิ้งระเบิด (Bombers) โดยมีจำนวนฐานยิง และจำนวนหัวรบนิวเคลียร์ มากกว่าสหรัฐฯ ยิ่งไปกว่านั้น ปฏิบัติการนิวเคลียร์ (Nuclear Operations) ต่อสหรัฐฯ จะใช้เส้นทางผ่านขั้วโลกเหนือเป็นหลัก กับการใช้เรือดำน้ำนิวเคลียร์ เล็ดลอดเข้าไปจ่อยิง เพื่อให้มีเวลาการป้องกันเหลือน้อยที่สุด เป็นที่คาดกันว่าหัวรบนิวเคลียร์ของรัสเซีย จะสามารถฝ่าข่ายการป้องกันของสหรัฐฯ ไปสู่เป้าหมายยุทธศาสตร์ได้จำนวนหนึ่ง ซึ่งจะทำให้พื้นที่ 1/3 ของสหรัฐฯ ถูกทำลายสิ้น ดังนั้น กำลังรบนิวเคลียร์ของรัสเซีย จึงถือเป็นภัยคุกคามอันดับ 1 ต่อสหรัฐฯ

 

จีน
กำลังรบนิวเคลียร์ของจีน ประกอบด้วย ขีปนาวุธที่ติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ข้ามทวีป (ICBMs) อาวุธปล่อยจากเรือดำน้ำนิวเคลียร์ (SLBMs) และเครื่องบินทิ้งระเบิด (Bombers) รวมทั้งสิ้น 275 ฐานยิง และคาดว่าถือครองหัวรบนิวเคลียร์อยู่ประมาณ 225 นัด

จีน เป็นประเทศที่ถือครองอาวุธนิวเคลียร์ ที่มีขีดความสามารถที่จะโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ (Nuclear Attack) ได้ครอบคลุมทวีปอเมริกาเหนือ ยุโรป และเอเชีย อาจเว้นก็แต่ทวีปอเมริกาใต้ เท่านั้น ด้วยขีปนาวุธ CSS-4 ระยะยิงสูงสุด 13,000 กิโลเมตร และขีปนาวุธ DF-31 ระยะยิงสูงสุด 8,000 กิโลเมตร

 

ฝรั่งเศส
กำลังรบนิวเคลียร์ของฝรั่งเศส ประกอบด้วย อาวุธปล่อยจากเรือดำน้ำนิวเคลียร์ SLBMs และเครื่องบินทิ้งระเบิด Bombers รวมทั้งสิ้น 133 ฐานยิง และถือครองหัวรบนิวเคลียร์ทั้งสิ้น 449 นัด

 

อิสราเอล
อิสราเอล มิได้ประกาศตนว่า เป็นชาติที่ถือครองอาวุธนิวเคลียร์ หากแต่บางแหล่งข่าวอ้างว่า อิสราเอล อาจถือครองหัวรบนิวเคลียร์ที่มีอำนาจการทำลายต่ำ (ประมาณ 1 กิโลตัน) อยู่ถึง 200 นัด แม้ว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการเฝ้าสังเกตนิวเคลียร์จะ ยังไม่เคยตรวจพบการทดลอง หรือการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ของอิสราเอลแต่อย่างไรก็ตาม แต่ตามข้อเท็จจริง อิสราเอล สามารถเข้าถึง รายละเอียดข้อมูลนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ และฝรั่งเศส ได้

นอกจากนั้น อิสราเอล ยังถือครองขีปนาวุธ JERICHO I ระยะยิง 660 กิโลเมตร และ JERICHO II ระยะยิง 1,500 กิโลเมตรที่สามารถติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ได้ รวมทั้ง จรวด SHAVIT ที่ใช้ในการปล่อยดาวเทียมของอิสราเอล ก็สามารถดัดแปรเพื่อนำส่งหัวรบนิวเคลียร์ข้ามทวีป ระยะยิง 7,800 กิโลเมตรได้เช่นกัน ทำให้อิสราเอล กลายเป็นชาติที่มีความพร้อมอย่างยิ่งในการถือครองอาวุธนิว เคลียร์

 

อินเดีย 
กำลังรบนิวเคลียร์ของอินเดีย ประกอบด้วยขีปนาวุธ ปริวิ (PRITHVI) SS-250 ระยะยิง 200 กม. และขีปนาวุธ อัคนี (AGNI) ระยะยิง 1,500-2,000 กม.ติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ และเครื่องบินขับไล่โจมตี SU-30MK ที่ใช้ในการปฏิบัติการนิวเคลียร์ โดยถือครองหัวรบนิวเคลียร์อยู่ประมาณ 85 นัด ทั้งนี้เชื่อว่าอินเดียอยู่ระหว่างการพัฒนาเรือดำน้ำที่สา มารถติดตั้งอาวุธปล่อยนิวเคลียร์ได้อีกด้วย

อินเดีย เป็นประเทศที่ถือครองอาวุธนิวเคลียร์ ที่มีขีดความสามารถที่จะโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ (Nuclear Attack) ได้ครอบคลุม จีน ปากีสถาน อิหร่าน คาซัคสถาน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บางส่วน ตลอดจน ยังมีการประเมินว่าอินเดีย มีขีดความสามารถที่จะโจมตีผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ในตะวันออกกลาง ด้วยขีปนาวุธ AGNI ที่มีระยะยิงสูงสุด 2,000 กิโลเมตร

 

ปากีสถาน
กำลังรบนิวเคลียร์ของปากีสถาน ประกอบไปด้วยขีปนาวุธที่นำเข้าจากจีน ประมาณ 30 นัด รวมทั้งขีปนาวุธ HALF-3 ระยะยิง 600 กม.และขีปนาวุธ GHAURI ระยะยิง 600 กม.ที่พัฒนาผลิตขึ้นใช้เอง จำนวนหนึ่ง โดยคาดว่าถือครองหัวรบนิวเคลียร์อยู่ประมาณ 25 นัด

ปากีสถาน เป็นประเทศที่ถือครองอาวุธนิวเคลียร์ ที่มีขีดความสามารถที่จะโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ (Nuclear Attack) ได้ครอบคลุม อินเดีย ซาอุดิอาระเบีย เยเมน โอมาน คูเวต คาซัคสถาน และภาคตะวันตกของจีน ตลอดจน มีการประเมินว่าปากีสถาน มีขีดความสามารถที่จะโจมตีผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ในตะวันออกกลาง เช่นเดียวกับอินเดีย ด้วยขีปนาวุธ CHAHEEN II ที่มีระยะยิงสูงสุด 2,000 กิโลเมตร

 

อิหร่าน
อิหร่าน เป็นประเทศที่ถือครองระบบซัดส่งที่เป็นขีปนาวุธ แม้ยังไม่มีหัวรบนิวเคลียร์ แต่ความมุ่งมั่นในโครงการเพิ่มสมรรถนะยูเรเนียม (Uranium Enrichment) อาจทำให้อิหร่าน สามารถเตรียมสารยูเรเนียมเข้มข้น เพียงพอที่จะผลิตหัวรบนิวเคลียร์ได้ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ขีดความสามารถของระบบซัดส่งที่เป็นขีปนาวุธที่อิหร่านถือค รอง เช่น Taepo Dong II ระยะยิง 6,000 กิโลเมตร สามารถโจมตีเป้าหมายยุทธศาสตร์ครอบคลุม ทวีปยุโรป เอเชีย และแอฟริกา รวมทั้ง ผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ทุกเป้าหมายในพื้นที่เหล่านั้น

 

 

ในอดีต

- 1895 วิลเฮล์ม รึนต์เก็น (Wilhelm Roentgen) พบรังสีเอ็กซ์ (x-rays)

- 1898 แมรี คูรี (Marie Curie) พบธาตุเรเดียม (radium) และโปโลเนียม (polonium) อันเป็นธาตุกัมมันตรังสี

- 1905 อัลเบิร์ต ไอสไตน์ (Albert Einstein) ประกาศทฤษฎีสัมพัทธภาพฃ อันเป็นทฤษฎีที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างสสารกับพลังงาน

- 1911 ยอร์จ ฟอน ฮีฟซี (Georg Von Hevesy) เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการนำลำแสงกัมมันตรังสีไปใช้ประโยชน์ อันต่อมาสามารถนำ
  แนวคิดดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ในวงการแพทย์อย่างได้ผล (ยอร์จ ได้รับรางวัลโนเบลในปี ค.ศ. 1943)

- 1927 เฮอร์แมน บลุมการ์ต (Herman Blumgart) ใช้ลำแสงกัมมันตรังสีในการรักษาโรคหัวใจเป็นคนแรก

- ธ.ค. 1938 อ็อตโต ฮาห์น (Otto Hahn) และ ฟริตซ์ สตราสซ์แมน (Fritz Strassman) สาธิตการทำงานแบบกระจายตัวของนิวเคลียร์ (nuclear fission)

- ส.ค. 1939 อัลเบิร์ต ไอสไตน์ มีสารถึงประธานาธิบดีรูสเวลต์ (President Roosevelt) แจ้งความก้าวหน้าเกี่ยวกับการวิจัยด้านนิวเคลียร์
 และความเป็นไปได้ในการประดิษฐ์ระเบิดนิวเคลียร์ของเยอรมน ี เป็นผลในทันทีให้ประธานาธิบดีรูสเวลต์แต่งตั้งคณะกรรมการพ ิเศษ
 เพื่อศึกษาวิจัยด้านนิวเคลียร์เพื่อกิจกรรมทหาร

- ก.ย. 1942 สหรัฐอเมริกาจัดตั้งโครงการแมนฮัตตัน (Manhattan Project) ขึ้นอย่างลับ ๆ เพื่อวัตถุประสงค์ในการประดิษฐ์ระเบิด
 นิวเคลียร์ให้สำเร็จก่อนเยอรมนี

 

- พ.ย. 1942 เมืองลอส อลามอส (Los Alamos) ในมลรัฐนิวเม็กซิโก (New Mexico) ได้รับเลือกให้เป็นห้องปฏิบัติการสำหรับการ  
 ประดิษฐ์ระเบิดนิวเคลียร์ของสหรัฐอเมริกา

- 1943 โรงปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฮานฟอร์ด (Hanford Nuclear Reactor) ถูกสร้างขึ้นที่เมืองริชแลนด์ (Richland) มลรัฐวอชิงตัน
  ภายใต้โครงการแมนฮัตตัน เพื่อวัตถุประสงค์ในการผลิตธาตุพลูโตเนียม

- ก.ย. 1944 โรงปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฮานฟอร์ดเริ่มปฏิบัติการ

- ก.ค. 1946 สหรัฐอเมริกาตรากฎหมายพลังงานปรมาณู (Atomic Energy Act : AEA) และจัดตั้งคณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณูขึ้น

- ธ.ค. 1946 โครงการแมนฮัตตันถูกยกเลิก ปฏิบัติการต่อไปนับจากนี้ ดำเนินการโดยคณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณู การวิจัยและ
 พัฒนาด้านนิวเคลียร์ดำเนินการภายใต้การควบคุมของฝ่ายพลเร ือน

- เม.ย. 1949 สหภาพโซเวียตสามารถประดิษฐ์ระเบิดนิวเคลียร์ได้สำเร็จ

- ม.ค. 1950 ประธานาธิบดีทรูแมน (President Truman) สั่งให้คณะกรรมธิการพลังงานปรมาณูดำเนินงานวิจัยและพัฒนาร ะเบิดไฮโดรเจน

- ม.ค. 1954 เรือดำน้ำยูเอสเอสนอติลุส (U.S.S. Nautilus) เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ลำแรกของสหรัฐอเมริกา ออกปฏิบัติการเป็น
 ครั้งแรก

- ต.ค. 1957 สหภาพโซเวียตส่งดาวเทียมสปุตนิก (Sputnik) ขึ้นไปในอวกาศสำเร็จเป็นครั้งแรก มีการจัดตั้งองค์การพลังงานปรมาณู
 ระหว่างประเทศ (International Atomic Energy Agency : IAEA) ขึ้น เพื่อสนับสนุนการใช้พลังงานนิวเคลียร์ทางสันติ รวมทั้งจัดตั้ง
  คณะผู้ตรวจการสากล และจัดทำระบบตรวจสอบ เพื่อเป็นหลักประกันว่าจะไม่มีการนำวัสดุนิวเคลียร์ไปใช้ใ นกิจกรรมทหาร

- ธ.ค. 1957 สหรัฐอเมริกาก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขึ้นเป็นแห ่งแรกที่มลรัฐเพ็นน์ซิลวาเนีย

 

- ต.ค. 1962 มีการพบขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์ของสหภาพโซเวียตในประเท ศคิวบา สหรัฐฯ ทำการปิดล้อมคิวบาเป็นเวลา 13 วัน
 จนกระทั่งสหภาพโซเวียตรับปากว่าจะถอนขีปนาวุธดังกล่าวออก ไป ขณะเดียวกัน สหรัฐอเมริกาก็ยอมรับจะถอนขีปนาวุธติดหัวรบ
 นิวเคลียร์ที่ติดตั้งอยู่ในประเทศตุรกีออกไปเช่นเดียวกัน

- ส.ค. 1963 สหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียต ร่วมกันลงนามในสนธิสัญญาจำกัดการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ สนธิสัญญาดังกล่าว
 มีสาระสำคัญคือ ห้ามการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ในบรรยากาศ และใต้น้ำ

- ก.ค. 1968 สหรัฐอเมริกาและประเทศต่าง ๆ กว่า 50 ประเทศ ร่วมลงนามในสนธิสัญญาไม่แพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์

- เม.ย. 1978 สหรัฐอเมริกายับยั้งการพัฒนาระเบิดนิวตรอน (Neutron Bomb) ที่มีศักยภาพในการทำลายชีวิตเท่านั้น
 แต่คงสิ่งก่อสร้างไว้

- เม.ย. 1986 มีการรั่วของรังสีอย่างรุนแรงจากโรงปฏิกรณ์นิวเคลียร์เชอร ์โนบิล ของสภาพโซเวียต

- มี.ค. 1987 ประธานาธิบดีกอร์บาชอพเสนอให้มีการลดจำนวนขีปนาวุธพิสัยใก ล้และพิสัยปานกลางในยุโรปข้อเสนอดังกล่าว
ได้รับการตอบสนองจากองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนื อ

- ธ.ค. 1987 ประธานาธิบดีเรแกน และประธานาธิบดีกอร์บาชอฟ ร่วมกันลงนามในสนธิสัญญาลดกำลังอาวุธนิวเคลียร์พิสัยปานกล าง

- พ.ย. 1990 ความร่วมมือระหว่างค่ายเสรีและค่ายคอมมิวนิสต์ทำให้ยุติสง ครามเย็นลงได้

- ก.ค. 1991 สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตลงนามในสนธิสัญญาลดกำลังอาวุธ นิวเคลียร์พิสัยไกลลงในปริมาณไม่น้อยกว่า
  ร้อยละ 30 ภายในระยะเวลา 7 ปี

- 1992 โรงปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฮานฟอร์ดหยุดภารกิจผลิตวัสดุนิวเคลีย ร์

- 1993 สำนักงานการพลังงาน (DOE) แห่งสหรัฐอเมริกาดำเนินการกำจัดการปนเปื้อนของสารกัมมันตร ังสีตลอดระยะเวลาแห่งยุค
 นิวเคลียร์ที่ผ่านมา

 

ผลของระเบิดนิวเคลียร์ (Effects of a nuclear explosion)

  พลังงานที่ให้ออกมาจากอาวุธนิวเคลียร์ แบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลักๆ ได้แก่

   1. แรงของคลื่นกระแทกจากการระเบิด (Blast) — 40 - 60% ของพลังงานทั้งหมด
   2. รังสีความร้อน (Thermal radiation) — 30-50% ของพลังงานทั้งหมด
   3. รังสีแบบไอออไนซ์ — 5% ของพลังงานทั้งหมด
   4. รังสีตกค้างจาก fallout — 5 - 10% ของพลังงานทั้งหมด

 

ทีนี้มาดูกันว่าทำไมระเบิดนิวเคลียร์ถึงได้แพร่กระจายไปยั งประเทศต่างๆ ได้

    วันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2488 สหรัฐอเมริกา เริ่มทดลองระเบิดปรมาณู (Atomic Bomb) เป็นครั้งแรกในโลก
ในชื่อ “แผนปฏิบัติการทรินิตี้” (Trinity Test)  ที่บริเวณทะเลทรายใกล้เมืองอลามากอร์โด (Alamogordo) รัฐนิวแม็กซิโก

 

หลายปีต่อมา J. Robert Oppenheimer ผู้อำนวยการแมนฮัตตัน พูดถึงวันชี้ชะตาวันนั้น....เรารู้ว่าโลกจะไม่เหมือนเดิมอ ีก
ผมจำประโยคจากคำภีร์ฮินดูที่ชื่อภควคีตาได้ .... " บัดนี้ ข้าได้กลายเป็นมัจจุราช ผู้ทำลายโลกแล้ว "
  ....แต่ทว่าสิ่งที่ผู้นำโครงการแมนฮัตตันไม่รู้ก็คือ ต้นแบบอาวุธนิวเคลียร์ อยู่ในมือโซเวียตเรียบร้อยแล้ว

 

ใน 1933 Klaus Fuchs นักฟิสิกส์เยอรมันได้หนีไปอังกฤษ เจ้าหน้าที่ได้ตรวจดูแฟ้มและเชื่อว่า klaus จะไม่เป็น
อันตราย แต่ในด้านลับๆ แล้ว klaus เป็นคอมมิวนิสต์ที่อุทิสตน

  เดือนสิงหาคม 1945 ระเบิดอะตอมที่ Klaus Fuchs ช่วยพัฒนา ได้นำไปหย่อนลงที่ฮิโระ มาชิม่า และนางาซากิ
จนสงครามจบลงในที่สุด

 

แต่อเมริกาไม่รู้ว่า...สองเดือนก่อนหน้านั้น Klaus Fuchs มอบแบบร่างของระเบิดพลูโตเนี่ยมให้สายข่าวของโซเวียต
ไปเรียบร้อยแล้ว  เป็นเวลา 40 กว่าปี  เชื่อกันว่าที่ losalamos มีแต่ Klaus Fuchs ที่เป็นสายลับคนเดียว แต่ในปี 1995
มีการเปิดเพยว่า ยังมีอีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีอายุน้อยที่สุดในโครงการ ชื่อของเขาคือ  Theodore Hall's
ซึ่งได้มอบแบบระเบิดที่ยุบตัวให้กับทางโซเวียต

 

ซึ่งสายข่าวที่ติดต่อเขาคือคอมมิวนิสต์อเมริกัน morris cohen และ Lona Cohen ซึ่งเป็นผู้ส่งข่าวจากสายลับ
ไปยังนสถานทูตรัสเซียในนิวยอร์ก

 

ในปี 1945 Theodore Hall's มอบแบบพิมพ์เขียวระเบิดที่ใช้กับนางาซากิ ให้กับ Lona Cohen  โดยซ่อนไว้กับกล่องกระดาษ
ทิชชู่ซึ่งจะนำไปยังสถานทูตรัสเซียในนิวยอร์ก

 ในเดือนสิงหาคม 1949 โซเวียตได้ทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรก ทำให้อเมริกาต่างช็อคไปตามๆกัน เพราะเชื่อกัน
ว่าโซเวียตต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 5 ปีในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์

 ซึ่งเป็นระเบิดแบบพลูโตเนียม โดยทำการระเบิดที่พื้นที่ Semipalatinsk โดยมีแรงระเบิด 20 กิโลตัน สหรัฐอเมริกาเรียกการ
ทดลองนี้ว่า Joe No. 1 (Joe เป็นชื่อเล่นของ Y. Stalin)

 

ในยุค 1950 อเมริกา ได้หันมาพัฒนาระเบิดไฮโดรเจน หรือที่รู้จักกันว่า ระเบิดเทอร์โมนิวเคลียร์ ซึ่งมีอนุภาพมากกว่า 1000 เท่า
ที่ถูกหย่อนในญี่ปุ่น

 ในปี 1954 อเมริกาได้ทดลอง ระเบิดเทอร์โมนิวเคลียร์ ขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา ที่หมู่เกาะ Bikini Atoll

 ในเวลานั้นโซเวียตยังไม่เข้าใจ แต่ในไม่ช้าโซเวียตจะเข้าใจ เพราะนอกจาก Klaus Fuchs , Theodore Hall's  แล้วโซเวียตยังมี
สายลับอีกคนที่ทำงานที่  losalamos ชื่อรหัสของเขาคือ Perseus ซึ่งตอนนั้นเขาได้หยุดเป็นสายลับแล้ว จนกระทั่งโซเวียตติดต่อ
ให้กลับมาทำงานอีกครั้ง

 

ผู้เชี่ยวชาญได้กล่าวว่า ในกรณีเทอร์โมนิวเคลียร์สามารถใช้เวลาแค่มื้อเที่ยงในการอ ธิบาย แค่ได้คุยกับนักวิทยาศาสตร์
โซเวียตที่เก่งมากๆ แล้วรู้ว่ากำลังฟังอะไรกันอยู่

  ในเดือน พฤศจิกายน 1955 โซเวียตทำให้อเมริกาช็อคอีกครั้ง ด้วยการจุดระเบิดเทอร์โมนิวเคลียร์แบบสองขั้น บนคาซัคสถาน

 

.....ทีนี้มาดูทางจีนบ้าง

   นักฟิสิกส์อเมริกันชื่อ john hilton (น่าจะเป็นชื่อใหม่) ทำงานที่  losalamos ในการออกแบบนิวเคลียร์ และได้อยู่ที่
จุดทดสอบที่ทรินิตี้ และการทดสอบนั้นทำให้เขาหวาดกลัวและเป็นกังวล   เพราะเธอเชื่อว่าตะวันตกไม่ควรจะผูกขาดในเทคโนโลยีนี้  

   ในปี 1948  hilton ย้ายมาประเทศจีนและอยู่จนถึงทุกวันนี้  ผู้เชี่ยวชาญเชื่อกันว่าเธอได้ช่วยเหลือจีน ในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์
ในยุคแรกๆ

    ต่อมา เหมาได้รับการช่วยเหลือจากโซเวียต ในการเป็นพันธมิตรต่อต้านทุนนิยมโลกตะวันตก โซเวียตได้ส่งแบบร่าง นักวิทยาศาสตร์
ไปช่วยจีน ในขณะที่โซเวียตกำลังจะมอบต้นแบบระเบิดให้กับจีน  ได้เกิดความขัดแย้งขึ้นก่อน ทำให้โซเวียตหยุดให้การช่วยเหลือต่อ ทำให้
เตาปฎิกรณ์ไม่ทำงาน เพราะโซเวียตให้ข้อมูลที่ผิดๆกับจีน

 

แต่จีนก็ได้ข้อมูลที่ถูกต้องจนได้  นั่นก็คือ.....Klaus Fuchs อดีตนักวิทยาศาสตร์ losalamos สายลับโซเวียต หลังจาก Klaus
ถูกจับกุมและสารภาพทำให้ถูกขัง 10 ปี ในปี 1959 Klaus ถูกปล่อยออกจากเรือนจำก่อนกำหนด 5 ปี และได้ย้ายไปเยอรมันเป็น
อาจารย์สอนฟิสิกส์ และที่นั่นเอง เชียง ซัน เคียง หัวหน้าโครงการนิวเคลียร์ของจีนได้ไปพบกับ Klaus ในฤดูร้อนนั้น

  ในปี 1964 จีนทดลองอาวุธนิวเคลียร์ลูกแรก และต่อมาในปี 1968 จีนก็มีขีดความสามารถทางด้านเทอร์โมนิวเคลียร์อย่างเต็มที ่

 

ในปี 1971 เกิดสงครามกลางเมืองในปากีสถาน อินเดียได้เข้าร่วมสงครามทำให้ปากีสถานเกิดความพ่ายแพ้ เหตุการครั้งนี้
ทำให้บุคคลรักชาติคนหนึ่ง พยายามล้างแค้น เขามีชื่อว่า Abdul Qadeer Khan เป็นนักโลหะวิทยา เชี่ยวชาญในการทำให้
ยูเรเนี่ยมอิ่มตัว  
    คาน อยู่ในฮอลแลนค์ ทำงานให้กับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการทำยูเรเนี่ยมให้อิ่ม ตัว  ทำให้คาน เริ่มรวบรวมข้อมูลอาวุธ
นิวเคลียร์

 

แต่ทว่าใน เดือนพฤษภาคม 1974 อินเดียได้ทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรก ชื่อ พระพุทธเจ้ายิ้ม

 

ขณะนั้นทางฮอลแลนด์เริ่มสงสัยคาน ทำให้ใน ธันวาคม  1975 หนีไปปากีสถาน พร้อมกับพิมพ์เขียว และแหล่งซื้อชิ้น
ส่วนประกอบเกือบร้อยแห่ง

 ต่อมาจีนได้ให้ความช่วยเหลือกับปากีสถาน ในการต่อต้านศัตรู นั่นคือ อินเดีย  ด้วยความช่วยเหลือจากจีน ปากีสถาน
ทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ลูกแรกในปี 1998  (ทดลองกันในจีน)

 

ในปี 2000 และปี 2001 หน่วยข่าวกรองมีรายงานว่านักวิทยาศาสตร์ที่สนิทของคานได้ไ ปพบกับกลุ่มตาลีบัน

 ปี 2003 มีรายงานว่าคาน เดินทางไปอัฟกานิสถาน เพื่อพบกับอุซามะฮ์ บิน ลาดิน  สหรัฐจึงได้กดดันให้ปากีสถาน
จับกุมคาน ซึ่งคานรับสารภาพว่าได้ขายต้นแบบอาวุธนิวเคลียร์ให้กับ ลิเบีย อิหร่าน และเกาหลีเหนือ  

เมื่อมีคาน เป็นคนรับสารภาพ ทำให้รัฐบาลปากีสถานไม่ต้องรับผิดชอบ ว่ามีส่วนในการกระจายอาวุธนิวเคลียร์ให้กับ
ประเทศโลกมุสลิม

 

......มาดูของยิวบ้าง  

โครงการระเบิดนิวเคลียร์ของอิสราเอลยุคแรก เริ่มต้นไปพร้อมกับโครงการของฝรั่งเศส ในปี 1950 เมื่ออิสราเอลและฝรั่งเศส
ตัดสินใจว่าไม่สามารถพึ่งพาการป้องกันของอเมริกาได้ ในปี 1957 อิสราเอลได้รับการช่วยเหลือจาก ฝรั่งเศสอย่างลับๆ อิสราเอล
ได้สร้างคอมเพล็กซ์ ในทะเลทรายเนเกฟ โดยอิสราเอลเป็นผู้ให้เทคโนโลยีและนักวิทยาศาสตร์ ขณะที่ฝรั่งเศสลงมือในด้าน
อุตสหกรรม

     แต่ต่อมาอเมริกาเริ่มสงสัย และส่งตัวแทนไปตรวจอาคาร (ประมาณยูทำอะไรกันอยู่ แต่ปิดตาไปหนึ่งข้าง) เพื่อให้แน่ใจว่า
อิสราเอลไม่ได้ทำโครงการนิวเคลียร์อยู่  (เจ้าหน้าที่ ที่ส่งไปไม่มีใครพูดภาษาฮิบรูได้) ดังนั้นอิสราเอลจึงได้วางแผนขึ้นมา โดย
การสร้างห้องควบคุมปลอมขึ้นมา มีปุ่มและอุปกรณ์ต่างๆ เหมือนงานวิจัยที่ถูกต้อง กำแพงบางส่วนถูกปิดเพื่อไม่ให้ผู้ตรวจสอบรู้ขนาดของโรงงาน จริง.....

 

ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าในสงคราม 6 วัน ในปี 1967 อิสราเอลมีระเบิดนิวเคลียร์ไว้ครอบครองแล้ว 2 ลูก แต่อิสราเอลไม่เคย
ยอมรับและเซ็นสนธิสัญญาจำกัดอาวุธนิวเคลียร์ โดยอ้างว่าจำเป็นด้านความมั่นคงบางอย่าง แถมขู่ว่าหากกดดันมากเกินไป
จะยิงนิวเคลียร์....

 

แม้อิสราเอลจะมีอาวุธนิวเคลียร์ แต่ก็จะปล่อยให้ชาติอาหรับพัฒนาขึ้นมาไม่ได้ ในยุค 1970 ซัดดัม ฮุสเซน มุ่งมั่นที่จะ
ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ เมื่อปลายทศวตวรรษ ได้ร่วมมือกับฝรั่งเศส (ทีมงานเดียวที่ช่วยอิสราเอล) ในการผลิตเตา
ปฏิกรณ์นิวเคลียร์ เพื่อผลิตพลูโตเนี่ยมที่ใช้เป็นอาวุธได้ เตาปฏิกรณ์นั้นตั้งอยู่ใกล้แบกแดด

 ปี 1981 อิสราเอลรู้ว่าเตาปฏิกรณ์กำลังจะเริ่มทำงาน อิสราเอลได้ส่งเครื่องบินรบ บินผ่านน่านฟ้าจอร์แดน และ
ซาอุดิอาราเบีย ด้วยการบินสูงไม่กี่ร้อยฟุตเหนือทะเลทราย เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับโดยเรดาร์  เครื่องบินรบอิสราเอล
ได้ทิ้งระเบิดหนัก 2000 ปอนด์ ถล่มเตาปฏิกรณ์ไม่เหลือหลอ

ข่าวสาร

User not write anything about he.
Captcha Challenge
ลองรูปภาพใหม่
Type in the verification code above

ลองอ่านดูน่าสนใจ: